ผลสำรวจของนิด้าโพล

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ข้อเสนอการปฏิรูปการเมือง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24 – 26 ธันวาคม 2557 จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทั่วทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,253 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูปการเมืองในประเด็นต่าง ๆ อาศัยการสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample)  ของ “นิด้าโพล” ด้วยความน่าจะเป็นด้วยวิธีแบบเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 และมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error : S.E.) ไม่เกิน 1.4

จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี และคัดเลือกกันเองเพื่อหาบุคคล ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.25 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของปลัดกระทรวงที่จะมารับผิดชอบโดยตรง นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงหรือเกิดจากการมีส่วนร่วมในการคัดเลือกของประชาชน รองลงมา ร้อยละ 46.05 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ เชื่อถือในด้านคุณวุฒิตำแหน่ง และคุณธรรมจริยธรรมของปลัดกระทรวง ซึ่งเห็นว่ามีความเหมาะสม และจะได้มีบุคคลในส่วนระบบราชการ เข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และ ร้อยละ 6.70 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อเสนอที่จะลดอำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ไม่ให้มีหน้าที่ตัดสินให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือให้ใบเหลือง ใบแดงผู้สมัคร โดยจะให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาแทน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.36 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ ควรให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินชี้ขาด เป็นการลดข้อครหาและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทำงานหรือการตัดสินของ กกต. ซึ่งปัจจุบันศาลยุติธรรมมีความน่าเชื่อถือและมีความโปร่งใสมากกว่า  รองลงมา ร้อยละ 30.49 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ กกต. มีหน้าที่และมีความรู้ความเข้าใจถึงกฎระเบียบตรงส่วนนี้ดีอยู่แล้ว เป็นการยึดอำนาจฝ่ายเดียวของศาลยุติธรรม อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และความวุ่นวายตามมา และ ร้อยละ 4.15 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อเสนอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ระบุถึงการมีนายกรัฐมนตรีคนกลางในภาวะวิกฤต  พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.47 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ เป็นการสานงานต่อในช่วงรอยต่อระหว่างรัฐบาลชุดเดิมและชุดใหม่ ทำให้นโยบายต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดในช่วงที่มีสูญญากาศทางการเมือง  ซึ่งนายกคนกลางน่าจะมีความยุติธรรมและเป็นกลางมากกว่า และถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองโดยที่ไม่ต้องมานั่งถกเถียงในภายหลังถึงที่มาของนายกรัฐมนตรีคนกลางในภาวะวิกฤต รองลงมา ร้อยละ 23.30 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ไม่ควรมีนายกรัฐมนตรีคนกลาง นายกรัฐมนตรี ควรมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และ ร้อยละ 4.23 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อเสนอที่ว่า ประธานรัฐสภาควรมาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ส่วนรองประธานสภา คนที่ 1 และ 2 อาจมาจากพรรคที่มีคะแนนรองลงมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.43 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ จะได้มีความคิดเห็นที่มาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 43.42 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ เป็นการเลือกกันเองในสภา อาจเกิดการทุจริต การซื้อขายตำแหน่ง และเป็นการให้อำนาจแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ควรมาจากบุคคลภายนอกด้วย เช่น นักวิชาการ นักการเมืองอิสระ และ ร้อยละ 4.15 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ